ชุมพร - โร่ร้อง สส.ตร.ข่มขู่ รีด ล้งทุเรียน เรียกนับสิบล้าน หลายสิบล้งเตียมถอนตัว กมธ.ตร.ลงตรวจสอบ
จากกรณี ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ใน พื้นที่ อ.ทุ่งตะโก อ.หลังสวน จ.ชุมพร ซึ่งเป็นที่ตั้งของ แผงรับซื้อทุเรียนและผลไม้เพื่อส่งออกประเทศจีน(ล้งทุเรียน) มี ชาวจีนและ ชาวไทยร่วมกัน เปิดรับซื้อนับร้อยๆแผง มีเงินหมุนเวียนเข้าสู่ จังหวัดชุมพร และประเทศไทยปีละหลายแสนล้านบาท ได้เกิด เหตุกลุ่มชายฉกรรจ์ ร่วม10 คน อ้างตัวเป็นตำรวจหน่วยงานหนึ่งนอกพื้นที่ จ.ชุมพร เข้าไปข่มขู่รีดเงินจาก เจ้าของล้งทุเรียน โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง ขอกันดื้อๆ ล้งละ3แสนบาท เจ้าของล้งที่กำลังสาละวนกับการซื้อขายทุเรียนเกิดความหวาดกลัว จึงยอมจ่ายเงินไป เพียงวัน-สองวัน กลุ่มคนดังกล่าวได้เดินสาย ก่อพฤติกรรม ร่วม20 ล้ง ได้เงินไปนับล้านบาท ชาวจีนและชาวไทย ที่เป็นพ่อค้ารับซื้อทุเรียนได้รวมตัวกันร้องเรียนไปยัง นายสุพล จุลใส สส.ชุมพร (สส.ลูกช้าง)
นายสุพล จุลใส สส. เขต 3 จังหวัดชุมพร เปิดเผยทางโทรศัพท์ ว่า “เมื่อวานเมื่อได้รับเรื่องร้องขอความช่วยเหลือได้ ปรึกษาด่วนไปยัง กมธ.ตร. สภาผู้แทนราษฏร ทันที ในวันนี้ (08/10/67) ตัวแทน กมธ.ตร.บางส่วนได้เดินทางด่วนลงมายัง อ.หลังสาวน จ.ชุมพรเพื่อพบกับ ผู้รับผิดชอบและ ผู้เสียหายทันที” นายสุพล จุลใส ส.ส. ชุมพร กล่าวต่อว่า”ได้รับคำร้องเรียนจากบรรดาเจ้าของแผงรับซื้อทุเรียนหรือโรงทุเรียนในพื้นที่จังหวัดชุมพร หลายสิบล้งว่าได้มีผู้อ้างตัวเป็นตำรวจสังกัดตำรวจไซเบอร์ เข้ามา ข่มขู่กรรโชค เอาเงินครั้ง ละหลายแสนบาท หลายสิบล้งเป็นเงินหลายล้านบาทโดยแต่ละล้งจะมีพ่อค้าชาวจีน และคนไทย ร่วมกันตั้งโรงรับซื้อทุเรียนและผลละไม้จากจังหวัดชุมพรเพื่อนำไปส่งยังประเทศจีนโดยตำรวจเหล่านั้นมีอยู่หลายคน อ้างข้อกฎหมาย ว่ากลุ่มคนในล้งหรือแผงรับซื้อทุเรียนมีความผิดตามกฎหมายหลายประเด็นด้วยกัน เพื่อ ไม่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย จึงขอให้เจ้าของล้งทำการจ่ายเงินรายละหลายแสนบาทและโดนกันหลายสิบล้งแต่ยังมีอีกหลายสิบล้งที่ไม่กล้าร้องเรียนมายัง ตนเอง โดยกลุ่มร้องเรียนเหล่านั้นได้แอบบันทึกภาพส่งมาให้ด้วย จึงได้นำกรณีดังกล่าวไปปรึกษากรรมาธิการการตำรวจสภาผู้แทนราษฎร เพื่อ ให้ลงมาตรวจสอบและถ้ามีหลักฐานไปถึงใคร ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนใหญ่เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นใน แผงรับซื้อทุเรียนในพื้นที่อำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพร เพราะเป็นพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของแผงรับซื้อทุเรียนจำนวนมาก และในอำเภอใกล้เคียงอย่างเช่นอำเภอทุ่งตะโกก็มีเหตุการณ์เช่นเดียวกัน แต่เจ้าของแผงรับซื้อทุเรียนยังไม่กล้าที่จะร้องเรียน ซึ่งถ้าตำรวจเหล่านั้นเข้าไปเพื่อดำเนินการตามกฎหมายก็คงจะถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ ตำรวจกลุ่มนี้กับเข้าไปเรียกเงินหลักแสนไม่ใช่หลักหมื่นหลักพันโดยเริ่มต้นถึง 300,000 บาทเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ในส่วนของชาวจีนที่มาร่วมรับซื้อทุเรียนในจังหวัดชุมพร มีความหวาดกลัวและไม่อยากมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ของทางฝ่ายไทยจึงยอมจ่ายเงินไปแล้วปรึกษาหารือกันว่าจะถอนตัวจากการรับซื้อทุเรียนจากจังหวัดชุมพรซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจะทำให้เกิดความเสียหายนับหมื่นล้านบาทต่อการค้าขายส่งออกทุเรียนจากจังหวัดชุมพรอย่างแน่นอนเพราะไม่รู้จะเอาทุเรียนไปขายใคร ผมจึงต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนของชาวบ้านในการปกป้องสิทธิ์ของของเกษตรกรและจะเดินทางลงไป ในพื้นที่สอบถามรายละเอียดจากแผงรับซื้อทุเรียนด้วยตนเองและจะนำไปแจ้งความด้วยตนเองเช่นเดียวกัน อีกทั้ง ใน การเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังมีตำรวจในพื้นที่ร่วมขบวนการด้วย ซึ่ง ได้ให้การรับประกันกับเจ้าของแผงรับซื้อทุเรียนดังกล่าวว่าจะให้การดูแลในเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินถ้ากล้าแจ้งความดำเนินคดีต่อไป”
ด้าน จ. อ. อภิชาต แก้วโกศล รองประธานกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนฯ เปิดเผยว่า” ได้เดินทางมาในนามของ คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียนจาก นายสุพล จุลใส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร เขต 3 ว่ามีผู้ประกอบการล้งทุเรียน โดนผู้ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ถูกต้องด้วยการเรียกเงิน จึงรีบ เดินทางลงมาและคุยกับเจ้าของล้ง และได้รับข้อมูลพร้อมหลักฐานชัดเจน ซึ่งจะได้นำไปเข้าการประชุมคณะกรรมาธิการตำรวจเพื่อดำเนินการต่อไป และประสานงานไปยัง พันตำรวจเอกฉลาด พลนาการ ผู้กำกับสถานีตำรวจหลังสวน เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งผู้ก่อเหตุเป็นตำรวจหน่วยอื่น ไม่ใช่ตำรวจในพื้นที่จังหวัดชุมพร วันนี้ผมมีหน้าที่เพื่อดำเนินการสืบหาข้อเท็จจริง จะได้ดำเนินการต่อไป
ส่วน พันตำรวจเอกฉลาด พลนาการ ผู้กำกับสถานีตำรวจหลังสวน จ.ชุมพร ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวไม่มีตำรวจของ สภ.อ หลังสวนเข้าไปเกี่ยวข้องแต่อย่างไรและจะได้รายงานเรื่องนี้ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับทราบเพื่อดำเนินการควบคู่กับคณะกรรมาธิการตำรวจสภาผู้แทนราษฎรไปด้วยอย่างถึงที่สุด
ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น